บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

มารตัวจริงเสียงจริงมีไหม






ผมไปพบกระทู้ที่น่าสนใจ เพราะ มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับบล็อกนี้ กระทู้นั้นชื่อ “มารจริงๆ ตัวเป็นๆ หรือภาษาธรรม?  

กระทู้ดังกล่าวตั้งมานานแล้ว  ผมก็รอดูว่า พวกสมองหมา ปัญญาควายในห้องศาสนา พันธุ์ทิพย์มันจะมีปัญญาวิเคราะห์กันอย่างไรบ้าง 

วันนี้กลับไปเช็กดูเห็นว่ามีตั้ง 40 ความคิดเห็นก็เลยถึงเวลาที่จะวิพากษ์วิจารณ์กัน

ก่อนอื่นขึ้นไปอ่าน ตโปกรรมสูตร กับประเภทของมารด้านบนก่อน  ตโปกรรมสูตรเป็นเนื้อหาของกระทู้  ส่วนประเภทของมาร ผมไปค้นมาจากวิกิพีเดีย

ถ้าอ่านแบบใจเป็นกลางๆ แล้ว  และไม่โง่แบบสมองหมา ปัญญาควายนักก็คงจะรู้ว่า “มารมีตัวตนจริง”  

ในพระไตรปิฎกนั้น มีมารมากวนพระพุทธเจ้าแบบนี้ บ่อยครั้งมาก  มากวนๆ แล้วก็หายไป มากวนๆ แล้วก็หายไป 

ที่รู้กันโดยทั่วไปก็ตอนที่มารมาผจญพระพุทธเจ้าตอนในช่วงตรัสรู้ กับตอนที่มารมาอาราธนาให้พระพุทธเจ้าปรินิพพาน..

ในกระทู้นี้ คนตั้งกระทู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นอยู่ตลอด  ประเด็นที่น่าสนใจก็อยู่ใน 2 ความคิดเห็นด้านล่างนี้

ความคิดเห็นที่ 8
ช่วยอธิบาย ในส่วนที่มารทราบว่า พระศาสดาตรึกอะไรอยู่ได้อย่างไรด้วยครับ?

ความคิดเห็นที่ 15
ถึงตรงนี้ คคห. ชี้ไปโดยนัยว่าเป็นมารตัวเป็น ๆ นั่นแหละ  ไม่ใช่ภาษาธรรมอะไรหรอก

จากการอ่านความคิดเห็นของบรรดาสมองหมา ปัญญาควายในกระทู้ดังกล่าว ก็ยืนยันได้ว่า ความคิดความเชื่อของผมยังถูกต้องอยู่  คือ ความคิดเห็นเหล่านั้น หาสาระอะไรไม่ได้

หาคนที่รู้จริงในห้องศาสนา พันธุ์ทิพย์ได้ยากมาก  มีแต่พวกกระสันอยากสำเร็จความใคร่ทางแป้นพิมพ์กันทั้งนั้น ดีแต่ทะเลาะกันไป ทะเลาะกันมา

เรามาวิพากษ์วิจารณ์กันเลย

กระทู้ที่ว่านี้ “มารจริงๆ ตัวเป็นๆ หรือภาษาธรรม? ต้องการตั้งขึ้นมาเพื่อเสียดสีพวกพุทธเชิงคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็ท่านพุทธทาส

พวกนี้ เชื่อวิทยาศาสตร์เก่าแบบกลไกของนิวตัน กาลิเลโอ และเดสคาร์ตส์  ดังนั้น ข้อความในพระไตรปิฎกที่พวกนี้ไม่เชื่อก็จะ “ตีความ” ให้มันผิดเพี้ยนออกไปจากความจริง

คือ จะตีความให้ยอมรับกันได้ในทางวิชาการ  ศัพท์อีกอย่างหนึ่งที่พวกนี้ชอบใช้ก็คือ “ไขความ

ถ้าอ่านหนังสือของคนพวกนี้แล้วเจอคำว่า “ตีความ”, “ไขความ”, “ภาษาคน”, “ภาษาธรรม” ก็ระวังไว้เลยว่า ไอ้พวกนี้จะเขียนให้ผิดเพี้ยนแล้ว

พวกนี้จะตีความว่า “มาร” ในพระไตรปิฎกเป็น “กิเลส” หรือ “ความคิด” ทั้งหมด  ผมก็ไม่รู้มันจะสมองหมา ปัญญาควายกันไปถึงไหน 

อรรถกถาก็แบ่งมารออกไป 5 ประเภทแล้ว  มันก็จะมึนไปตีความใหม่ ให้ “เทวบุตรมาร” หรือ มารที่มีตัวตนจริงๆ” ไม่มีให้ได้

อย่างไรก็ดี  การแบ่งมารเป็น 5 ประเภทนั้น ก็ยังไม่ถูกต้องนัก คือ มารมันมีมากกว่านั้น ในทางวิชาธรรมกายรู้จักมารดีที่สุด

มารนั้น มีพระพุทธเจ้าฝ่ายเขาด้วย  ธรรมกายของพระพุทธเจ้าฝ่ายขาวมีรูปร่างอย่างไร ธรรมกายของพระพุทธเจ้าฝ่ายมารก็เป็นอย่างนั้น ต่างกันคือ สี 

ธรรมกายของพระพุทธเจ้าฝ่ายขาวสีขาวใส  ธรรมกายของพระพุทธเจ้าฝ่ายมารสีดำใส

ดังนั้น มารจึงมามากมายมหาศาลไม่ใช่มีแค่เทวบุตรมาร หรือมารที่อยู่บนสวรรค์ชั้นที่ 6 แค่นั้น  มารมนุษย์ก็มี  ที่เห็นชัดๆ ก็คือ  สมีเควี่ยธัมมชโยนี่แหละ

กลับมาเข้าประเด็นสำคัญที่ไม่มีใครเข้าใจเลยแบบสุดๆ คือ  ทำไมมารมันถึงรู้ว่า พระพุทธเจ้าคิดอะไรอยู่

ตรงนี้ ที่ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครรู้ก็เพราะว่า “ไม่มีใครปฏิบัติธรรมได้อย่างถูกต้อง” ก็จึงไม่รู้จักวิชาของมาร

ขอให้ไปดูตัวอย่างวิชาของมารที่ว่า “ยืด ใย ยนต์ อายตนะ วิทยุ” ในหนังสือปราบมาร เล่ม 1 ด้านบน   มารเขามีวิชาพวกนี้อยู่  เขาจึงรู้ว่า ใครคิดอะไร อยู่ที่ไหน

ตรงนี้  ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า  จากกระทู้ดังกล่าว พวกสมองหมา ปัญญาควายในห้องศาสนา พันธุ์ทิพย์ไม่มีใครรู้จริงแม้แต่คนเดียว  ไม่สามารถอธิบายพระสูตรได้เลย

อันที่จริง  พวกพุทธวิชาการอื่นๆ ก็เช่นเดียวกับพวกสมองหมา ปัญญาควายในห้องศาสนา พันธุ์ทิพย์ คือ ไม่ได้แตกต่างกันในด้านสมองหมา ปัญญาควาย  ไม่มีใครอธิบายได้เช่นเดียวกัน

มีแต่หลวงพ่อวัดปากน้ำเท่านั้น ที่อธิบายได้ชัดเจน  เราจะทำตามได้หรือเปล่าเท่านั้น..






มารเข้าท้องพระโมคคัลลานะ

เรื่องนี้อยู่ในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ ชื่อ มารตัชชนียสูตร ว่าด้วยการคุกคามมาร

เรื่องก็เป็นดังนี้

[๕๕๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ มิคทายวัน ในเภสกลาวันเขตเมืองสุงสุมารคีระ ในภัคคชนบท.

สมัยนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ถูกมารผู้ลามกเข้าไปในท้องในไส้ได้มีความดำริว่า ท้องเราเป็นดังว่ามีก้อนหินหนักๆ และเป็นเช่นกะทออันเต็มด้วยถั่วหมัก เพราะเหตุอะไรหนอ

จึงลงจากจงกรมแล้วเข้าไปสู่วิหาร นั่งอยู่บนอาสนะที่ปูไว้ ครั้นนั่งแล้ว ได้ใส่ใจถึงมารที่ลามก ด้วยอุบายอันแยบคายเฉพาะตน.

ข้อความที่ว่า “ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-”  เป็นคำเล่าของพระอานนท์  เมื่อเล่าแล้ว พระภิกษุก็ท่องจำกันมา พระสูตรจึงมีเนื้อความซ้ำๆ กันเป็นส่วนใหญ่ เพราะ เจตนาจะให้ท่องจำกัน

เรื่องก็เป็นว่า พระโมคคลลานะกำลังเดินจงกรมอยู่ มารก็เข้าไปในท้อง ตรงนี้พระสูตรไม่ได้บอกว่า มารมันเข้าไปอย่างไร

พระโมคคัลลานะรู้สึกว่า ท้องของท่านหนักผิดปกติ  จึงเลิกเดินจงกรมไปนั่ง ผมว่าคงไปนั่งสมาธินั่นแหละ  แล้วก็รู้ว่า มารเขาไปในท้องของท่าน “ด้วยอุบายอันแยบคายเฉพาะตน.

ตรงนี้แปลก เพราะ พระอานนท์ไม่รู้ว่า พระโมคคัลลานะใช้วิชาอะไร จึงรู้ว่า มีมารอยู่ตนท้อง 

[๕๕๘] ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นมารผู้ลามก เข้าไปในท้องในไส้แล้ว ครั้นแล้ว จึงเรียกว่า ดูกรมารผู้ลามก ท่านจงออกมา ท่านจงออกมา

ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตและสาวกของพระตถาคตเลยวิเหสนกรรมนั้น อย่าได้มีเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์แก่ท่านตลอดกาลนาน.

ข้อความส่วนนี้ ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นมารผู้ลามก เข้าไปในท้องในไส้” แสดงว่า พระโมคคัลลานะ ต้องมีวิชาของท่าน และท่านเห็นตัวของมารด้วย

ลำดับนั้น มารมีความดำริว่า สมณะนี้ไม่รู้และไม่เห็นเรา จึงกล่าวว่า ดูกรมารผู้ลามกท่านจงออกมา ท่านจงออกมา

ท่านอย่าเบียดเบียนพระตถาคตและสาวกของพระตถาคตเลยวิเหสนกรรมนั้น อย่าได้มีเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์แก่ท่านตลอดกาลนาน

ดังนี้ แล้วจึงดำริว่า แม้สมณะที่เป็นศาสดายังไม่พึงรู้จักเราได้เร็วไว ก็สมณะที่เป็นสาวกไฉน จักรู้จักเราได้.

ตรงนี้ต้องอ่านให้ดีๆ  ข้อความที่ว่า “แม้สมณะที่เป็นศาสดายังไม่พึงรู้จักเราได้เร็วไว” นี่ก็แสดงว่า พระโมคคัลลานะเห็นมารตัวนี้ เร็วกว่าพระพุทธองค์เสียอีก

ในขณะนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้บอกว่า ดูกรมารผู้ลามก เรารู้จักท่านแม้ด้วยเหตุนี้ แล ท่านอย่าเข้าใจว่า สมณะนี้ไม่รู้จักเรา

ท่านเป็นมาร ท่านมีความดำริว่า สมณะนี้ไม่รู้และไม่เห็นเรา จึงกล่าวว่า ดูกรมารผู้ลามก ท่านจงออกมา ฯลฯ ก็สมณะที่เป็นสาวกไฉน จักรู้จักเรา.

ลำดับนั้น มารมีความดำริว่า สมณะนี้รู้จักและเห็นเรา จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูกรมารผู้ลามกท่านจงออกมา ฯลฯ วิเหสนกรรมนั้น อย่าได้มีเพื่อโทษไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์แก่ท่านตลอด
กาลนาน

ดังนี้ แล้วจึงออกจากปากท่านพระมหาโมคคัลลานะ แล้วยืนอยู่ที่ข้างบานประตู.

ตรงนี้พระสูตรกล่าวว่า พอมารมันแน่ใจว่า พระโมคคัลลานะรู้จักตัวของมันแน่ๆ จึงออกมาทางปากของพระโมคคัลลานะ แล้วก็ไปยืนอยู่ข้างบานประตู

เรื่องนี้ มารเป็นกายละเอียดนะครับ อย่าไปนึกว่า มารมันเป็นกายเนื้อ

[๕๕๙] ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้เห็นมารผู้ลามกยืนอยู่ที่ข้างบานประตู ครั้นแล้วจึงกล่าวว่า

ดูกรมารผู้ลามก เราเห็นท่านแม้ที่ข้างบานประตูนั้น ท่านอย่าเข้าใจว่า สมณะนี้ไม่เห็นเรา ท่านนั้นยืนอยู่แล้วที่ข้างบานประตู.

ดูกรมารผู้ลามก เรื่องเคยมีแล้ว  เราเป็นมารชื่อทูสี มีน้องหญิงชื่อกาลี ท่านเป็นบุตรน้องหญิงของเรานั้น ท่านนั้นได้เป็นหลานชายของเรา

พระโมคคัลลานะนั้น เห็นมารยืนอยู่ข้างบานประตู แล้วบอกด้วยว่า มารเคยเป็นหลานของท่าน ชาตินั้น พระโมคคัลลานะเป็นมารชื่อ “ทูสี”  มีน้องสาวชื่อ “กาลี” ซึ่งเป็นแม่ของมารตัวนี้

นี่ก็แสดงว่า มารสามารถเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายพระได้  และไอ้มารตัวนี้ก็ไม่รู้อดีตชาติ ไม่อย่างนั้น คงไม่ไปแกล้งลุงของตัวเอง ซึ่งพระอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าแน่ๆ

ประการสำคัญก็คือ มารมีจริง และมารมันเก่งจริง

ต่อจากนั้น พระโมคคัลลานะก็เล่าเรื่องของท่านว่า ทำกรรมชั่วอย่างไรบ้าง ตกนรกอย่างไรมารบ้าง

[๕๖๕] ดูกรมารผู้ลามก ก็มหานรกนั้นแลมีชื่อ ๓ อย่าง ชื่อฉผัสสายตนิกะก็มี ชื่อสังกุสมาหตะก็มี  ชื่อปัจจัตตเวทนียะก็มี.

ดูกรมารผู้ลามก ครั้งนั้นแล พวกนายนิรยบาลเข้ามาหาเราแล้ว บอกว่าเมื่อใดแล หลาวเหล็กกับหลาวเหล็กมารวมกันที่กลางหทัยของท่านเมื่อนั้น ท่านพึงรู้ว่า เราไหม้อยู่ในนรกพันปีแล้ว.

ดูกรมารผู้ลามก เรานั้นแล หมกไหม้อยู่ในมหานรกนั้นหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี และหมกไหม้อยู่ในอุสสทนรกแห่งมหานรกนั้นแล

เสวยทุกขเวทนาหนักกว่าก่อนอีกหมื่นปี. เรานั้นมีกายเห็นปานนี้คือ มีศีรษะเหมือนศีรษะมนุษย์ก็มี เหมือนศีรษะปลาก็มี.

จะเห็นว่า มารนั้น ทำกรรมชั่วไว้ ก็ต้องรับผลของกรรมชั่วเช่นเดียวกับฝ่ายพระที่ทำกรรมชั่วเหมือนกัน

ในทางวิชาธรรมกาย เรารู้จักมารมากกว่านี้ มารมันเก่งจริง  วิชาธรรมกายก็สามารถเห็นมารได้อย่างพระโมคคัลลานะเหมือนกัน

ในเรื่องนี้ ผมว่า พระโมคคัลลานะก็ใช้วิชาธรรมกายในการตรวจสอบว่ามารมันอยู่ในท้องของท่าน  สำหรับการที่พระอานนท์กล่าวว่า พระโมคคัลลานะทำอย่างไรจึงเห็นมาร

บอกเพียงแต่ว่า “ด้วยอุบายอันแยบคายเฉพาะตน.” น่าจะมีปัญหาในการท่องจำกันมาภายหลัง คือ รุ่นหลังคงไม่รู้จักวิชาธรรมกาย  จึงไม่กล้าระบุลงไป

ที่กล่าวไปนั้น กล่าวกันอย่างในทางวิชาการ  สำหรับความจริงแล้ว มารมันพยายามลบวิชาธรรมกายออกไปจากพระไตรปิฎก


คนรุ่นหลังไม่เก่งเท่ารุ่นพระพุทธเจ้า การกระทำของมารมันจึงสำเร็จ คือ เอาหลักการของวิชาธรรมกายออกไปจากพระไตรปิฎกได้...



มารกับสูรอัมพัฏฐอุบาสก

บทความในชุดนี้ จะเผยแพร่หลักฐานที่ว่า “มารมี” ในพระไตรปิฎก  เมื่อ “มารมี” และพระพุทธองค์ปราบไว้ไม่หมด  การปราบมารในยุคนี้จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้

ผมไปอ่านพบกระทู้ชื่อ “มารแปลงร่างเป็นพระพุทธเจ้าปลอมมาหลอกได้” เนื้อหาของกระทู้ก็เป็นดังนี้

อรรถกถาสูตรที่  ๘ 

๘. ประวัติสูรอัมพัฏฐอุบาสก

ในสูตรที่  ๘  พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

ด้วยบทว่า อเวจฺจปฺสนฺนาน ท่านแสดงว่า ปุรพันธเศรษฐี อุบาสก [ บาลีว่า   สูรอัมพัฏฐะ] เป็นเลิศกว่าพวกอุบาสกอริยสาวกผู้เลื่อมใสไม่หวั่นไหว.

ดังได้สดับมา อุบาสกผู้นี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระบังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี ฟังธรรมกถาของพระศาสดา   

เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสกผู้หนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสกผู้เลื่อมใสไม่หวั่นไหว ทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น.  

เขาเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัป ในพุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดในสกุลเศรษฐี.  พวกญาติได้ขนานนามว่า ปุรพันธะ.

ต่อมาเขาเจริญวัย ดำรงอยู่ในฆราวาสวิสัย  เป็นอุปัฏฐากของเหล่าอัญญเดียรถีย์.

ครั้งนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูโลกเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นเหตุแห่งโสดาปัตติมรรคของเขา จึงเสด็จไปถึงประตูนิเวศน์ในเวลาเที่ยวแสวงหาอาหาร.   

เขาเห็นพระทศพล จึงคิดว่า พระสมณโคดมทรงอุบัติในสกุลใหญ่และเป็นผู้อันมหาชนรู้จักกันอย่างดีในโลก

ด้วยเหตุนั้น  การไม่ไปสำนักของพระสมณโคดมนั้น ไม่สมควร. เขาจึงไปสู่สำนักพระศาสดากราบที่พระยุคลบาท รับบาตรแล้วอาราธนาให้เสด็จเข้าไปเรือน    

ให้ประทับนั่งบนบัลลังก์มีค่ามากถวายภิกษา เมื่อเสร็จภัตกิจ จึงนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง.  

พระศาสดาทรงแสดงธรรมตามอำนาจจริยาของเขา. จบเทศนาเขาก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. แม้พระศาสดาทรงฝึกเขาแล้ว ก็เสด็จไปพระเชตวันวิหาร.

ลำดับนั้น มารคิดว่า ชื่อว่าปุรพันธะนี้เป็นสมบัติของเรา แต่พระศาสดาเสด็จไปเรือนเขาวันนี้ ได้ทรงทำให้มรรคปรากฏ  เพราะฟังธรรมของพระศาสดาหรือหนอ

เพียงที่เราจะรู้ว่าเขาพ้นจากวิสัยของเราหรือยังไม่พ้น จึงเนรมิตรูปละม้ายพระทศพล  ทั้งทรงจีวร ทั้งทรงบาตร เสด็จดำเนินโดยอากัปกิริยาของพระพุทธเจ้าทีเดียว

ทรงพระลักษณะ ๓๒ ประการ ได้ประทับยืนใกล้ประตูเรือนของปุรพันธอุบาสก.   

แม้ปุรพันธอุบาสก  ฟังว่า พระทศพลเสด็จมาอีกแล้ว ก็คิดว่าธรรมดาการเสด็จไปชนิดไม่แน่นอนของพระพุทธะทั้งหลายไม่มีเลย  เหตุไรหนอจึงเสด็จมา

ดังนี้ แล้วจึงรีบเข้าไปสู่สำนักพระพุทธองค์ด้วยสำคัญว่าพระทศพล กราบแล้วยืน ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง

กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้วในเรือนของข้าพระองค์  ทรงอาศัยเหตุอะไรจึงเสด็จมาอีก. 

มารกล่าวว่า ดูก่อนปุรพันธะ เราเมื่อกล่าวธรรมไม่ทันพิจารณาแล้วกล่าวคำไปข้อหนึ่ง มีอยู่

แท้จริงเรากล่าวไปว่า ปัญจขันธ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หมดทุกอย่าง แต่ความจริงไม่ใช่ทั้งหมดเห็นปานนั้น ด้วยว่า ขันธ์บางจำพวก ที่เที่ยงมั่นคง ยั่งยืน มีอยู่. ทีนั้น  

ปุรพันธอุบาสกคิดว่า  เรื่องนี้เป็นเรื่องหนักอย่างยิ่ง ด้วยธรรมดาว่า พระพุทธะทั้งหลาย ตรัสเป็นคำสองไม่มี.  

จึงคิดใคร่ครวญว่า ขึ้นชื่อว่ามารเป็นข้าศึกของพระทศพล ผู้นี้ต้องเป็นมารแน่  

จึงกล่าวว่า ท่านเป็นมารหรือ.

ถ้อยคำที่พระอริยสาวกกล่าว ได้เป็นหนึ่งเอาขวานฟันมารนั้น. เพราะเหตุนั้น มารจะดำรงอยู่โดยภาวะของตนไม่ได้ จึงกล่าวว่า

ใช่ละ ปุรพันธะ เราเป็นมาร.

ปุรพันธอุบาสกจึงชี้นิ้วกล่าวว่า  มารตั้ง ๑๐๐ ตั้ง ๑,๐๐๐ ก็มาทำศรัทธาของเราให้หวั่นไหวไม่ได้ดอก.   

พระทศพลมหาโคดม เมื่อทรงแสดงธรรมแก่เรา ก็ทรงแสดงธรรมปลุกให้ตื่นว่า  สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง. ท่านอย่ายืนใกล้ประตูเรือนของเรานะ. 

มารฟังคำของปุรพันธอุบาสกนั้นแล้ว ก็ถอยกรูดไม่อาจพูดจา  อันตรธานไปในที่นั้นนั่งเอง. 

แม้ปุรพันธอุบาสก เวลาเย็นก็เข้าไปเฝ้าพระศาสดา กราบทูลกิริยาที่มารทำแล้วทูลว่า  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญมารพยายามทำศรัทธาของข้าพระองค์ให้หวั่นไหว.

พระศาสดาทรงทำเหตุนั้นนั่นแลให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง 

จึงทรงสถาปนาปุรพันธอุบาสกไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสก ผู้เลื่อมใส  ไม่หวั่นไหวแล.

จบอรรถกถาสูตรที่  ๘

อรรถกถาชุดนี้ เป็นเรื่องของอุบาสกผู้มีตำแหน่งเลิศ  ๑๐  ท่าน  รายชื่อก็มีดังนี้

พ่อค้าชื่อตปุสสะและภัลลิกะ 
เป็นเลิศในเรื่องผู้ถึงสรณะก่อน.
สุทัตตอนาถปิณฑิกคฤหบดี   
เป็นเลิศในเรื่องผู้ถวายทาน.
จิตตคฤหบดีชาวเมืองมัจฉิกสัณฑะ
เป็นเลิศในเรื่องผู้เป็นธรรมกถึก
หัตถกอุบาสกชาวเมืองอาฬวี     
เป็นเลิศในเรื่องผู้สงเคราะห์บริษัทด้วยสังคหวัตถุ  ๔.
เจ้าศากยะพระนามว่ามหานามะ   
เป็นเลิศในเรื่องผู้ถวายรสอันประณีต.
อุคคคฤหบดีชาวเมื่องเวสาลี      
เป็นเลิศในเรื่องผู้ถวายโภชนะเป็นที่ชอบใจ.
อุคคคฤหบดี 
เป็นเลิศในเรื่องผู้เป็นสังฆอุปัฏฐาก.
สูรัมพัฏเศรษฐีบุตร   
เป็นเลิศในเรื่องผู้เลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้น.
หมอชีวกโกมารภัจ     
เป็นเลิศในเรื่องผู้เลื่อมใสในบุคคล.
นกุลีปิตาคฤหบดี  
เป็นเลิศในเรื่องผู้คุ้นเคย.

ในอรรถกถานี้ มารมันน่าจะปลอมเป็นพระวรกายเนื้อของพระพุทธเจ้ามาหลอกสูรัมพัฏเศรษฐีบุตรเอาดื้อๆ เลย

การแปลงกายของมารมันต้องเหมือนมาก  เพราะ สูรัมพัฏเศรษฐีบุตรดูไม่ออก

ที่สูรัมพัฏเศรษฐีบุตรรู้ก็เป็นเพราะว่า “มารมันสอนผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า”  สูรัมพัฏเศรษฐีบุตรเชื่อและเลื่อมใสพระพุทธเจ้าอย่างแน่นแฟ้น จึงไม่หลงกลของมาร

ในทางวิชาธรรมกายมารมันหลอกยิ่งกว่านี้  พูดง่ายๆ ว่า เมื่อไหร่เราทำวิชาเห็นพระพุทธเจ้า ก็อย่าเพิ่งเชื่อ


ต้องทำวิชาระเบิดกายที่เห็นไปก่อน  จนกระทั่งถึงกายที่ระเบิดไม่แตก นั่นแหละ จึงจะเป็นกายของพระพุทธเจ้าของเราอย่างแท้จริง