คุณดวงธรรมตั้งคำถามไว้ดังนี้
แล้วที่ไปสอนเด็กๆ ให้เห็นดวงปฐมมรรค ก็เป็นเพียงคนธรรมดาๆ บางคนยังไม่เคยเห็นดวงปฐมมรรคเลยก็ไปสอนแล้ว
คนสอนยังไม่เห็น แล้วทำไมคนเรียนเห็นทั้งชั้นได้เลยครับ (ภายใน 10 ปีที่ผ่านมา
คณะของคุณลุงการุณย์นี้สอนไปแล้วประมาณ 5 แสนคน หลายร้อยโรงเรียน
ซึ่งอ้างว่าเห็นดวงปฐมมรรค เฉลี่ยทั้งหมด 95% และได้ต่อวิชชา
18 กายเฉลี่ย 90 กว่า%)
ลองดูซิครับ คณะที่ไปสอนเองส่วนมากก็ยังไม่เห็นดวงปฐมมรรคเลย แล้วนักเรียนเห็นกันเกือบหมดคิดดูครับ
คิดดูครับคณะนี้ สอนวิชชาเก่งกว่าหลวงพ่ออีกครับ
ไปสอนเด็กก็ดีครับ แต่ถ้าครูที่ไปสอนเด็กไม่รู้วาระจิตคนอื่น
จะถูกเด็กหลอกได้
|
คำตอบ
ประเด็นนี้อาจจะแยกข้อสงสัยออกเป็น
2 ประเด็นย่อย กล่าวคือ
1)
ผู้สอนยังไม่เห็นดวงปฐมมรรคทำไมสอนให้เด็กเห็นได้
2) ผู้สอนไม่รู้วาระจิตคนอื่น
จะถูกเด็กหลอกได้
ประเด็นย่อยที่ว่า
“ผู้สอนยังไม่เห็นดวงปฐมมรรคทำไมสอนให้เด็กเห็นได้”
ผมเองก็ยังสงสัยว่า
คุณดวงธรรมไปเอาหลักการที่ไหนมาที่ตั้งเป็นเกณฑ์ขึ้นว่า “ครูผู้สอนต้องเห็นดวงธรรมเสียก่อน
เสียจึงจะไปสอนให้เด็กเห็นดวงธรรมได้”
ตรงนี้
คุณดวงธรรมน่าจะอธิบายหลักเกณฑ์ที่คุณดวงธรรมตั้งขึ้นมาเสียก่อน
นี่ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง
ที่แสดงให้เห็นว่า คุณดวงธรรมไม่เชื่ออะไรไปลอยๆ อย่างไม่มีเหตุผล ตั้งข้อสงสัยไปดะ ทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้อะไรเลย
ในความเป็นจริงแล้ว
วิทยากรที่จะไปสอนได้
ต้องไปสอบเป็นวิทยากรกับคุณลุงเสียก่อน
เนื้อหาที่จะต้องไปสอบก็ต้อง
“ท่อง” ปากเปล่าเป็นเวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ
เลยทีเดียว
เมื่อสอบเป็นวิทยากรได้แล้ว
ก็ต้องไปเป็นวิทยากรผู้ช่วยอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ประสบการณ์ของผมก็คือ
ผมไปสังเกตการณ์การทำงานของกลุ่มวิทยากรของคุณลุงการุณย์เกือบ 2 ปี ไปร่วมประชุมทุกเดือน แล้วจึงตัดสินใจไปสอบเป็นวิทยากร
เมื่อไปสอบแล้วก็ไปเป็นวิทยากรผู้ช่วยอีกประมาณ
2 ปี
แล้วจึงมาสอนเป็นวิทยากรเอกเอง
เพื่อเป็นการอธิบายให้สมกับฐานะที่มีอาชีพครู
และร่ำเรียนจนจบปริญญาเอก ผมขอบอกว่า
ในการสอนวิชาการทางโลกก็เช่นเดียวกัน
การสอนวิชาการในโลกนี้
เป็นส่วนใหญ่ หรือเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว ที่ครูผู้สอนไม่มีประสบการณ์ตรงในเรื่องที่สอนแต่ประการใด
แต่ก็สามารถสอนให้นักเรียนนักศึกษาเข้าใจได้
ยกตัวอย่างเช่น
การสอนเรื่องหิมะ
หรือเรื่องเกี่ยวกับขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ เป็นต้น
ครูของไทยมีสักกี่คนที่จะมีประสบการณ์ไปเห็นขั้วโลกทั้งเหนือหรือใต้มาด้วยตัวเอง แม้กระทั่งหิมะ
ครูจำนวนมากก็ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
แต่ทำไมครูเหล่านั้นจึงสอนสิ่งเหล่านี้ได้
นั่นก็เป็นเพราะมันมีหลักสูตร
มีหลักวิชาไว้สำหรับยึด เพื่อเป็นวิธีการในการสอน
ในการสอนวิชาธรรมกายก็เช่นเดียวกัน เรามีหลักสูตร มีหลักการสอนที่เป็นมาตรฐาน วิทยากรบางคนที่สอนออกนอกแนวไป ก็ยังมีการถูกห้ามสอน
ผมขอยืนยันว่า
การสอนวิชชาธรรมของกลุ่มวิทยากรของคุณลุงการุณย์
สอนอย่างเป็นวิชาการตามหลักการทุกประการ
สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการหาความรู้ความจริงทางวิทยาศาสตร์ (Scientific
method)
ประเด็นย่อยที่ว่า
“ผู้สอนไม่รู้วาระจิตคนอื่น จะถูกเด็กหลอกได้”
ประเด็นนี้
แสดงความไม่รู้ในหลักวิชาการทั้งทางโลกและทางธรรมของคุณดวงธรรม
นอกจากนั้นแล้ว
ยังแสดงตัวตนของคุณดวงธรรม ที่เชื่อว่า ความรู้ของตนถูกต้องไปเสียหมด ทั้งๆ ที่ไม่รู้อะไรมากนัก
นอกจากนั้น
คุณดวงธรรมยัง “ใจร้าย”
และมีอคติกับเด็กๆ ผู้บริสุทธิ์ด้วยว่า “จะถูกเด็กหลอกได้”
เอาประเด็นเรื่อง
“ไม่รู้วาระจิตคนอื่น” ก่อน
คุณดวงธรรมไปเอาหลักเกณฑ์มาจากไหนที่ว่า
ผู้สอนธรรมปฏิบัติควรจะรู้ว่าวาระจิตของคนอื่นเสียก่อน จึงจะไปสอนคนอื่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิชาธรรมกาย
หลวงพ่อสดท่านเขียนหรือกำหนดไว้ตรงไหน
อย่างไรว่าวิทยากรที่จะไปสอนคนอื่นนั้น
ต้องรู้วาระจิตของผู้อื่นเสียก่อน
อย่าลืมว่า
เรากำลังถกกันเรื่องวิชาธรรมกาย
อาจจะเป็นไปได้ที่ว่า มีสายปฏิบัติอื่นๆ ที่กำหนดไว้ว่า “ผู้สอนปฏิบัติธรรมจะต้องรู้วาระจิตของผู้อื่นก่อน
จึงจะไปสอนได้”
ผมเองก็ปฏิบัติธรรมมาเกือบทุกสาย
ไม่ว่าจะเป็น ยุบหนอพองหนอ (บวชวัดอัมพวัน สิงห์บุรี 1 พรรษา) สายพุทโธ สายนะมะพะทะ เป็นต้น
ก็ยังไม่เห็นมีใครกำหนดเกณฑ์ดังกล่าวขึ้นมา
ดังนั้น ถ้าคุณดวงธรรมจะเอาเกณฑ์นี้ขึ้นมาจับ หรือนำกฎเกณฑ์นี้มาเป็นมาตรฐาน
คุณดวงธรรมจะต้องไปหาหลักฐานในวิชาธรรมกายมายืนยันให้ได้ว่า “หลวงพ่อสดกำหนดเกณฑ์ไว้ว่า
วิทยากรจะต้องรู้วาระจิตของผู้อื่นเสียก่อน จึงจะไปสอนได้”
ผมศึกษาวิชาธรรมกายมา
อ่านหนังสือจนครบเกือบทุกเล่ม ยังไม่พบว่า หลวงพ่อสดท่านกำหนดเกณฑ์ดังกล่าวไว้
ณ ที่ใด
ประเด็นที่สำคัญที่น่าจะกล่าวถึงให้มากก็คือ
การที่คุณดวงธรรมไปสงสัยเอากับเด็กที่คนทั้งโลกเขาเชื่อว่า เป็นผู้บริสุทธิ์ จะมีเจตนามาหลอกวิทยากร
หรือวิทยากรเซ่อซ่าเด๋อด๋าจน “ถูกเด็กหลอกได้”
ทำไมคุณดวงธรรมมีอคติกับเด็กถึงขนาดนี้ คุณดวงธรรมสงสัยการสอนของวิทยากร
ก็สงสัยไป ทำไมจะต้องไปสงสัยด้วยว่า “เด็กจะหลอกวิทยากร”
วิทยากรแต่ละคนไม่ใช่เป็นคนไม่มีความรู้
วิทยากรเป็นแพทย์ก็มี เป็นวิศวกรก็มี
เป็นครูอาจารย์เกษียณแล้วก็มี
เป็นดอกเตอร์ก็มี
วิทยากรเหล่านี้
ถ้าถูกเด็กหลอก (สมมุติว่ามีจริงๆ) จะไม่รู้เลยหรือว่า เด็กหลอกอยู่ แล้วเด็กจำนวนเป็นแสนๆ คน
จะหลอกวิทยากรทั้งหมดเลยหรือ
นอกจากนั้นแล้ว
ผมเองยังไม่เห็นเหตุผลอย่างเป็นวิชาการเลยว่า “ทำไมเด็กจะต้องหลอกวิทยากรด้วย”
วิทยากรไปสอนเด็กนักเรียนนักศึกษาไปสอนเพื่อเป็นการสร้างบารมี
โดยหวังว่าการทำงานในครั้งนี้จะทำให้สังคมดีขึ้น จะมีคนดีมีศีลธรรมมากขึ้น
การไปสอนก็ออกค่าใช้จ่ายเอง
ไม่ได้ไปขอค่าสอน หรือวัตถุอื่นใด
เด็กกับวิทยากรก็ไม่รู้จักกัน
ส่วนใหญ่พอสอนแล้ว
ก็แยกกันไป ความถี่ที่จะพบกัน ก็ประมาณเดือนละ 1 ครั้ง ในบางกรณีสอนได้ครั้งเดียว
แล้วก็ไม่เจอกันอีกเลย
ผมยังมองไม่ออกเลยว่า
เด็กจะ “หลอก” วิทยากรไปทำไม ด้วยผลประโยชน์อะไร
อันที่จริงแล้ว
มีเด็กที่พยายามหลอกวิทยากรเหมือนกัน
แต่คนละประเด็นกับที่คุณดวงธรรมตั้งข้อสงสัย เหตุการณ์ที่เด็กพยายามหลอกวิทยากรว่าเห็นดวงธรรมเท่าที่พบเห็นมีดังนี้
ในการสอนบางครั้ง
เมื่อเด็กเห็นดวงธรรมแล้ว ก็จะมีการแยกเด็กออกไปปฏิบัติเป็นกลุ่มย่อย เด็กบางคนนึกว่า ถ้าเห็นดวงธรรมแล้ว
ก็กลับบ้านได้
พอมีเด็กส่วนหนึ่ง
“เห็น” จริงๆ แต่ตัวเองยังไม่เห็น ก็เลยยกมือไปด้วย เมื่อวิทยากรถามว่า “ใครเห็นดวงธรรมในท้องแล้วให้ยกมือขึ้น”
ในกรณีเช่นนี้จะเห็นว่า
“มีเด็กเห็นดวงธรรมจริงๆ จำนวนหนึ่งยกมือขึ้น” เด็กบางคนก็ยกมือตาม
กรณีแบบนี้พบน้อยมาก
ส่วนใหญ่เป็นเด็กในระดับอาชีวศึกษา แทบจะไม่พบเลยในระดับประถมศึกษาและในระดับมัธยมศึกษา
ประเด็นนี้
แสดงว่า คุณดวงธรรมเอาความไม่เชื่อโดยไม่มีหลักวิชาการเป็นตัวตั้ง
แล้วก็ตั้งข้อสงสัยมั่วไป
แม้จนกระทั่งเด็กที่ขนาดในวงการยุติธรรมยังรับว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
ไม่หลอกลวงใครเพื่อผลประโยชน์อามิสสินจ้าง
การไปสอนธรรมปฏิบัติ และเป็นการวัดผลเพื่อดำเนินการสอนในระดับต่อไป เด็กจะโกหกไปหาพระแสงด้ามยาวไปทำไม
หรือว่า ชีวิตในวัยเด็กของคุณดวงธรรม
โกหกพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาตลอดชีวิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น