บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ถาม-ตอบ ปราบมาร [4]

คุณดวงธรรมตั้งคำถามไว้ดังนี้

แล้วที่สำคัญเด็กประถม เด็กอนุบาลที่ไปสอนนั้น ผมขอวานให้ผู้ที่ไปสอนช่วยกำชับถามเด็กจริงๆนะครับ ย้ำว่าให้ถามว่า (เพราะยังไงคุณก็ไม่มีตาทิพย์ที่จะรู้ เลยให้ถามแทน) เด็กที่เห็นดวงปฐมมรรคนั้น เห็นจริงดุจตาเนื้อเห็นรูป ไม่ใช่เห็นแบบใช้ความคิดเห็น (ยกตัวอย่างว่า ถ้าเราเห็นหน้าแฟนเราตัวจริง กับคิดถึงหน้าแฟน มันต่างกันมั้ยครับ)

อันนี้ลองไปคิดดู แล้วลองถามแบบนี้จริงๆ ไม่งั้นจะทำให้หลง เป็นวิปัสสนึกไปอย่างเดียว ครับ

คำตอบ

ประเด็นนี้ ผมตอบคุณดวงธรรมได้เลย เพราะ ผมเองนั้นทั้งสอนและทำวิจัยมาแล้ว และประการสำคัญที่สุดเลย  ผมเองก็เห็นกายธรรมในท้องของผมด้วย 

ผมจะอธิบายทั้งงานวิจัย ทั้งการสังเกต การสัมภาษณ์ และประสบการณ์ที่ผมได้รับจากการฝึกปฏิบัติของตัวผมเองเลยด้วย

ก่อนอื่นก็ตั้งข้อสงสัยอีกว่า คุณดวงธรรมทำไมตั้งคุณสมบัติของวิทยากรไว้สูงส่งเหลือเกิน ที่กล่าวผ่านมาแล้วก็คือ วิทยากรจะต้องรู้วาระจิตของคนอื่น  วิทยากรจะต้องมีตาทิพย์ 

คุณดวงธรรมตั้งคุณสมบัติของวิทยากรไปทำนองเพ้อฝัน หรือไม่รู้จริงในเรื่องของธรรมปฏิบัติมากกว่าที่จะเป็นอย่างอื่น

ผมขออธิบายในเบื้องต้นนี้ก่อนว่า ในฐานะที่สอนวิชาธรรมกาย  ในการสอนเด็ก ผมก็ทั้งสังเกต ทั้งสัมภาษณ์เด็กนักเรียน/นักศึกษา  และทำวิจัยเกี่ยวกับวิชาธรรมกายเรื่อง ผลของการปฏิบัติธรรมที่มีต่อความฉลาดทางปัญญา และความฉลาดทางอารมณ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน ไปเรียบร้อยแล้ว

และในฐานะที่ได้เห็นผลของการปฏิบัติธรรมต่อตนเองแล้ว ผมขออธิบายเกี่ยว การเห็น ในวิชาธรรมกาย ดังนี้

การเห็นนิมิต
เมื่อเด็กนักเรียนนักศึกษากำหนด นึก ดวงใสหรือดวงนิมิตนั้น มันจะมีทิศทางกำกับอยู่  เช่น สมมุติว่า ดวงธรรมอยู่ข้างหน้าเรา เหมือนเราดูโทรทัศน์ มันก็จะทิศทางกำกับ 

ถ้าภาษาของการเขียนแบบก็เห็นแบบ front view  แต่ถ้านึกแบบมองลงมาแบบนกที่เรียกว่า bird eye view นิมิตที่เห็นก็เหมือนกันเรามองมาจากข้างบน  ถ้าเป็นบ้านก็เห็นเฉพาะหลังคาบ้าน ทำนองนั้น

เมื่อนึกนิมิตได้แล้ว ร่างกายของผู้ปฏิบัติยังจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ อาจจะปวดเมื่อยบ้าง อึดอัดบ้าง  ฯลฯ เป็นต้น

การเห็นดวงปฐมมรรค
เมื่อนักเรียนนำดวงนิมิตไปวางไว้ ณ ศูนย์กลางกาย เหนือสะดือ 2 นิ้ว และภาวนาจนใจหยุดถูกส่วน เด็กก็จะเห็นดวงปฐมมรรค 

การเห็นดวงปฐมมรรคนี้จะแตกต่างจากการเห็นดวงนิมิต กล่าวคือ เป็นการเห็นที่ไม่มีทิศทาง  เป็นการเห็นด้วยตาภายใน

ดวงนิมิตที่เห็นนั้น เหมือนเรามีตารอบดวง และมีตามองจากข้างในออกมาข้างนอกด้วย  คือ เห็นหมด ศัพท์ภาษาพระเรียกว่า เห็นโดยรอบ 

การ เห็นโดยรอบ  ให้อธิบายให้ตาย คนที่ไม่เคยเห็นก็ไม่เข้าใจ  เช่นเดียวกับสุภาษิตที่ว่า สิบปากว่า ไม่เท่าตาเห็น 

คนที่เคยเห็นด้วยกัน เมื่อพูดถึงก็จะเข้าใจได้ง่าย  การเห็นอย่างนี้ก็ถูกหลักการของพระไตรปิฎกที่ว่า ปัจจัตตัง  คือ เป็นการเห็นเฉพาะตัว  ถ้าไม่เห็น ก็ไม่เข้าใจ

เมื่อเห็นแล้ว จึงจะเข้าใจดี ถึงแม้การเห็นของแต่ละคนเป็นต่างคนต่างเห็นก็ตาม

สิ่งที่แตกต่างๆ จากการเห็นดวงนิมิตคือ ความใสของดวงปฐมมรรค  ดวงปฐมมรรคมีความใสสว่างมาก 

ดวงนิมิตจะมีความใสเท่ากับดวงแก้วกลมใสที่นำมาให้นักเรียนดู หรืออาจจะใสได้มากกว่านั้น ตามจินตนาการของเด็ก  แต่ดวงนิมิตทุกดวง ไม่มีความใสเท่ากับดวงปฐมมรรค

ความใสสว่างนั้น  เป็นความใสสว่างแบบเย็นใจเย็นตา  ไม่ใช่ความสว่างที่เกิดจากหลอดไฟ ซึ่งยิ่งสว่างมาก ก็ยิ่งเคืองตาหรือแสบตา

ประการสำคัญที่สุดที่ผู้ไม่เคยปฏิบัติธรรมไม่เข้าใจเลยก็คือ การเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย

เมื่อนักเรียนเห็นดวงปฐมมรรคนั้น  ไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงเฉพาะจิตใจเท่านั้น แต่ร่างกายจะมีความเปลี่ยนแปลงด้วย

โดยส่วนมากแล้ว นักเรียน/นักศึกษา/ผู้ปฏิบัติธรรมจะรู้สึก สงบ โปร่ง โล่ง สบาย

นักเรียน/นักศึกษา/ผู้ปฏิบัติธรรมจำนวนมาก ในขณะที่เห็นดวงปฐมมรรคหรือกายธรรมในตัวนั้น  ความรู้สึกปวดขา เมื่อยขาก็จะไม่มี แต่เมื่อออกจากการนั่งปฏิบัติธรรมแล้ว จึงจะรู้สึกปวดขา หรือเป็นเหน็บชาขึ้นมาทันที

คนที่เห็นดวงปฐมมรรคหรือกายธรรมแล้ว จะเข้าใจว่า ความสุขที่เกิดจากความสงบ นั้นเป็นอย่างไร 

โดยสรุป
คุณดวงธรรมกล่าวหลายครั้งว่า คุณลุงการุณย์อาจจะพบกับวิปัสสนูกิเลส หรืออาจจะเป็นวิปัสสนึกไปเลย  ผมขอตั้งข้อสงสัยว่า คุณดวงธรรมเข้าใจเรื่องวิปัสสนูกิเลสขนาดไหน 

คนที่จะมาวิพากษ์วิจารณ์คุณลุงว่าเกิดวิปัสสนูกิเลส  สิ่งที่สอนหรือเขียนออกมานั้นก็เกิดจากวิปัสสนูกิเลส ต้องมีความเข้าใจวิปัสสนูกิเลสอย่างลึกซึ้งพอสมควร  จึงจะมีสิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นอย่างเป็นวิชาการ

ยิ่งตัวเองมีประสบการณ์เกิดวิปัสสนูกิเลสมาบ้างแล้ว ก็ยิ่งจะมีมากขึ้น เพราะ จะมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง  

วิปัสสนูกิเลสนั้น ไม่ใช่กิเลสธรรมดา  ต้องปฏิบัติธรรมถึงขั้นวิปัสสนา และเข้าไปในระดับลึกๆ ด้วย จึงอาจจะเกิดวิปัสสนูกิเลสขึ้นได้ 

ผมขอให้คุณดวงธรรมตั้งข้อสงสัยกับตัวเองซิว่า มีความรู้เกี่ยวกับวิปัสสนูกิเลสขนาดไหน

โดยสรุปสุดท้ายจริงๆ

คุณดวงธรรมไม่เชื่อในเนื้อหาของหนังสือปราบมาร และไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับวิชาธรรมกายถึงขั้นลึกซึ้งแต่อย่างใด

นอกจากนั้น ความรู้ทางธรรมะในพระไตรปิฎกคุณดวงธรรมก็ไม่ได้มีความรู้อย่างลึกซึ้งแต่อย่างใด  เรียกว่า รู้แบบงูๆ ปลาๆ  แต่คุณดวงธรรมเป็นคนขี้สงสัย ที่ไม่ใช่การช่างสงสัยอย่างนักปราชญ์

คุณดวงธรรมเป็นคนช่างสงสัยแบบคนที่ไม่รู้ทั่วๆ ไป สงสัยไปเรื่อย  สงสัยไปทั่วโดยไม่มีหลักวิชาการรองรับ 

พอสงสัยก็ตั้งข้อสงสัยดะไป มั่วไป  มิได้มีหลักวิชาการแต่อย่างใด 

ข้อเขียนของคุณดวงธรรมจึงเป็นข้อเขียนที่ไม่เป็นวิชาการ เป็นข้อเขียนที่ขาดเหตุผลทางวิชาการ ซึ่งผมจะวิเคราะห์ต่อไป ขอให้ติดตาม.....





5 ความคิดเห็น:

  1. มีผู้ตั้งคำถามดังนี้

    คำถาม
    1. ฯลฯ งานปราบมารได้ผลเกินคาด ต้นธาตุของนิพพานกายธรรมประกาศต่อไปนี้มรรคผลนิพพานให้เข้านิพพานด้วยกายมนุษย์ ฯลฯ

    ผมคิดว่าการที่คุณลุงบอกว่าต่อไปนี้ การเข้านิพพานสามารถเข้าด้วยกายมนุษย์ นั้นควรจะมีผลอะไรที่สะท้อนมาถึงตัวเราบ้างเพราะมันบ่งบอกว่าการทำวิชชาของคุณลุงสามารถกำจัดต้นอวิชชาบางตัวได้นั่นก็คือความแก่และความตาย แต่ปรากฏว่าทุกวันนี้ยังมีคนแก่ คนตายอยู่ทุกวัน แสดงว่าผังนี้ยังไม่ได้ถูกดับแน่นอน ธรรมดาธรรมชาติเวลามีอะไรเปลี่ยนแปลงเราจะสามารถเห็นได้ถึงความต่อเนืองเป็นเหตุเป็นผลกัน เช่นโลกร้อน ทำให้ฤดูกาลเปลี่ยน น้ำเริ่มท่วมโลก เป็นต้น

    แต่นี่กิเลสคนผมคิดว่าไม่ได้น้อยลงไปเลย ผมจึงคิดว่าสิ่งที่คุณลุงไปเห็นกับของจริงที่เกิดขึ้นนั้นไม่น่าจะตรงกัน

    คำตอบ
    คุณควรศึกษาให้มากกว่านี้ แล้วพยายามเรียนเรื่องหลักการของเหตุและผลให้มากขึ้นด้วย คุณไปอ่านหนังสือมา มีข้อมูลเพียงนิดเดียว คุณเอาข้อมูลนิดเดียวนั้นมาตีความ แล้วสงสัยมั่วไป

    อ่านหนังสือลุงให้มากกว่านี้ แล้วค่อยมาถามใหม่

    สำหรับคำถาม 2 ข้อสุดท้ายที่ว่า
    2. วิชาผังมหาเศรษฐี คืออะไร ทำอย่างไร
    3. วิชาการคำนวณผังความอุดมสมบูรณ์ มีจริงไหม ทำอย่างไร

    ผมไม่เคยได้ยิน “ผัง” ดังกล่าว ถ้าคุณเป็นสาวกวัดพระธรรมกาย คุณถูกสมีไชยบูลย์แหกตาแล้ว

    อีกประการหนึ่งก็คือ ฝึกวิชาธรรมกายให้เห็นดวงธรรมกับกายธรรม ผมว่าน่าจะดีกว่าการสงสัยเรื่องที่ยังไปไม่ถึง เมื่อความรู้ถึงแล้ว ก็จะเข้าใจไปเอง

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ31 มกราคม 2555 เวลา 12:10

    ดร.ครับ มีโอกาสมากน้อยแค่ไหน ที่จะออกหนังสือปราบมารภาค7ครับ

    ตอบลบ
  3. ค่อนข้างยาก เพราะ คุณลุงไม่เขียนแน่ๆ ถ้าจะมี ก็ต้องผมเป็นคนเขียน

    แต่ตอนนี้ ยังไม่มีเวลาที่จะคิดเรื่องนี้

    หนังสือปราบมาร 1-6 อ่านให้จำได้เสียก่อนว่า หน้าไหนเรื่องอะไร ใครถามก็ตอบได้

    เอาแค่นี้ก่อนเถอะ

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ31 มกราคม 2555 เวลา 20:28

    ดร.ครับ มีความเห็นอย่างไรกับกระทู้นี้ครับ

    http://www.dhammakaya.org/forum/index.php/topic,967.0.html

    ตอบลบ
  5. อ่านคร่าวๆ ไม่อยากตอบมาก เพราะ อยู่ในสายวิชาเดียวกัน

    ผมสอนมาเป็นแสนๆ คนแล้ว สอนตามแบบคุณลุง วันนี้ก็ไปสอนที่โรงเรียนโคกลำพานวิทยา อ. เมือง จ. ลพบุรีมา สอนถึงวิชาขอรัตนะเจ็ดให้กับเด็กนักเรียนได้

    สงสัยว่าจริงหรือไม่จริงก็ไปถามดูได้ อยากได้ชื่อโรงเรียนอื่นๆ อีก ก็ขอมาได้

    ทางสายคุณลุงนั้น สอนได้ เด็กปฏิบัติได้จริง เด็กที่ผมสอนวาดรูปมาให้ดูเป็นพันๆ ภาพแล้ว (การวาดรูปกายธรรม จักรพรรดิ คือ ปฏิเวธ)

    คนที่ตอบว่า "ไม่เห็นด้วย" กับการสอนแบบคุณลุง เคยไปสอนให้เด็กเห็นดวงธรรม กายธรรม จักรพรรดิหรือไม่

    ส่วนใหญ่ก็อ่านตามหนังสือ แล้วก็ว่ากันไป

    อีกประการหนึ่ง ......

    พวกที่ว่าสอนตามหลวงพ่อเขียนไว้ ผมนั้น สอนตามหลวงพ่อวัดปากน้ำสั่งให้ทำปัจจุบันนี้เลย ตัวผมเองนั้น ขออนุญาตหลวงพ่อวัดปากน้ำ จนท่านบอกว่า "ดร. มนัส เห็นดีเห็นงานอะไรทำไปเลย"

    ขอยืนยันว่า การทำงานของลูกศิษย์คุณลุง ทำงานโดยการกำกับดูแลของหลวงพ่อวัดปากน้ำ

    กลุ่มทางโน้น อ้างตำรา อ้างโน่นอ้างนี่ ผมถามจริงๆ "ไปหาหลวงพ่อวัดปากน้ำในปัจจุบันนี้ได้หรือเปล่า"

    รู้หรือเปล่าว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำอยู่ที่ไหน เข้าพบท่านได้หรือไม่

    พวกดีแต่ปากทั้งนั้น .....

    ตอบลบ